การซ่อมแซมเครื่องยนต์ตัวเก่า (OVERHAUL)
ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ฟิตเครื่อง” เป็นทางเลือกที่อู่ซ่อมรถชอบและแนะนำให้ลูกค้าเลือกวิธีนี้
เพราะการซ่อมแซมเครื่องยนต์ตัวเก่า จะต้องมีการรื้อชิ้นส่วน เพื่อวิเคราะห์การสึกหรอ และตัดสิน
ใจเลือกเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ การที่เจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่มอบหมายให้อู่หาซื้ออะไหล่ให้นั้น เป็น
การเปิดทางให้อู่สามารถ “บวกราคาอะไหล่” หรือ ซื้ออะไหล่ของเทียม แต่เก็บเงินในราคาอะไหล่
แท้ อย่าคิดจะจับผิดในจุดนี้ เพราะอู่ซ่อมรถส่วนใหญ่มักจะสนิทสนมกับร้านอะไหล่จนเป็นปกติ จะ
ให้ลงราคาในใบเสร็จเท่าไรก็ได้ บางครั้งไม่ได้เปลี่ยน แต่มีรายการอะไหล่อยู่ในใบเสร็จก็ยังมี และ
อย่าคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ได้โดยเลือกซื้ออะไหล่เอง อู่บริการจะมีข้อแม้ว่า เจ้าของรถไม่ชำนาญพอ
และอาจทำให้งานล่าช้า ถ้าซื้ออะไหล่มาไม่ครบหรือซื้อผิดรุ่นการบวกราคาค่าอะไหล่ในใบเสร็จ
ร้านอะไหล่บางครั้งไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย เพราะบางแห่งบวกกันกว่า 50-100% เรื่องอย่างนี้อยู่
ที่จรรยาบรรณนอกจากอู่
ซ่อมรถจะได้กำไรจากการบวกราคาค่าอะไหล่ ยังมีการบวกคาใช้จ่ายในส่วนของ “โรงกลึง” อีก
หลายสิบเปอร์เซ็นต์ ท้ายสุดยังได้ค่าแรงรื้อประกอบอีก 2,000-3,000 บาท (ค่าแรงเปลี่ยนเครื่อง
เพียง 1,000-1,500 บาทเท่านั้น)การเลือกวิธีซ่อมเครื่องเก่า จะต้องเสียเวลาประมาณ 3-7 วัน กับ
ค่าใช้จ่ายสูงลิบ และยากแก่การควบคุม เพราะจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักการ “ฟัน” ของอู่ อีกทั้งยังต้อง
ลุ้นกับฝีมือช่างอีกด้วยภาพการสึกหรอของเครื่องยนต์ จะเป็นตัวกำหนดทางเลือกที่ดี ขีดจำกัดอยู่
ที่ “การสึกหรอของกระบอกสูบและชาฟท์(แบริ่ง)”
ถ้ากระบอกสูบมีการสึกหรอจนไม่สามารถใช้ลูกสูบชุดเดิม ได้ การกลึงคว้านเพื่อเปลี่ยนลูกสูบใหญ่
ขึ้น หมายถึงค่าใช้จ่าย…โรงกลึง, ลูกสูบ และแหวนลูกสูบ ฯลฯการคว้านกระบอกสูบในภายหลังนี้
จะไม่มีการ “ชุบแข็ง” ที่ผิวกระบอกสูบเดิมที่ถูกคว้านออกไปที่มีการชุบแข็ง จากโรงงานผู้ผลิต
ผิวกระบอกสูบที่ไม่ได้ชุบแข็ง จะมีอัตราการสึกหรอมากกว่ามาตรฐาน เครื่องยนต์จะมีอายุการใช้
งานสั้นลง และไม่คุ้มค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปการเลือกวิธีการซ่อมแซมเครื่องยนต์ตัวเก่า จะคุ้มค่าก็
ต่อเมื่อเป็นเครื่องยนต์ของรถยุโรป ที่มีปริมาณเครื่องยนต์เก่าซึ่งนำเข้ามาจำหน่ายกันน้ อยและมี
ราคาสูง แต่ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น เครื่องยนต์ในตลาดอะไหล่เก่าให้เลือกมาก และอย่างจุใจ
อีกประการก็คือ การเลือกฟิตเครื่องเก่าจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อ ไม่ต้องเปลี่ยนลูกสูบ, แบริ่ง (ชาฟท์) และ
วาล์ว รวมถึงในเรื่องของค่าใช้จ่าย เพราะถ้าค่าใช้จ่ายในการฟิตเครื่องสูงกว่า 50% ของราคา
เครื่องเก่าในเชียงกง
สิ่งที่ควรระวังก็คือ อู่บริการส่วนใหญ่ มักจะประเมินราคาค่าซ่อมขั้นต้นไว้ เพื่อจูงใจให้
เลือกวิธีซ่อมเครื่องยนต์เก่า แต่เมื่อลงมือไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจะบานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้
ด้วยข้ออ้างที่ว่า “ทำครั้งเดียวทำดี ๆ ไปเลย” ซึ่งถึงเวลานั้นก็คงกลับตัวกันไม่ทัน เพราะเครื่องก็ถูก
รื้อออกมาแล้ว อย่างไรก็ต้องทำให้เสร็จ
การเปลี่ยนเครื่องยนต์
ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องยนต์ใช้แล้วของรถญี่ปุ่น มีให้เลือกซื้ออย่างแพร่หลายในราคาที่น่า
สนใจ โดยแหล่งใหญ่ตอนนี้อยู่ที่เซียงกงบางนารองลงมาก็เซียงกง ปทุมวันบริเวณหลังสนามกีฬา
แห่งชาติ และที่สี่แยกหลักสี่ในชื่อเรียก “เชียงกงหลักสี่” นอกจากนั้น ยังมีที่เซียงกงรังสิตและร้าน
เล็ก ๆ กระจายอยู่ตามตึกแถวทั่วกรุงเทพฯ เครื่องยนต์ที่ถูกนำเข้ามา จะเป็นเครื่องยนต์ที่ผ่านการ
ใช้งานมาแล้วทั้งสิ้น ถูกถอดออกมาจากรถยนต์ที่ถูกทิ้งในป่าช้ารถในประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมักใช้
รถกันเพียง 3-5 ปี เพราะในญี่ปุ่นรถมีราคาถูก แต่ค่าซ่อมแพง ถ้าใครทนใช้เกินระยะเวลานี้ จะมีค่า
ใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง การต่อทะเบียน ตรวจสภาพ ประกันภัย ฯลฯ จนทางเลือกในการซื้อรถใหม่
เป็นทางที่คุ้มค่ากว่า
การใช้งานในระยะเวลา 3-5 ปี มิได้หมายความว่ารถยนต์จะผ่านการใช้งานอย่างหฤโหดเป็น
แสน ๆ กิโลเมตรแบบคนไทย เพราะระบบขนส่งมวลชนที่ดีเยี่ยม คนญี่ปุ่นหลายคน จึงใช้รถยนต์แค่
วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
นอกจากรถยนต์ที่ถูกทิ้งด้วยสาเหตุที่กล่าวมา ก็มีรถยนต์ที่ถูกทิ้งเพราะเกิดอุบัติเหตุ “ไม่คุ้ม
ค่าซ่อม” บริษัทประกันภัยจะเคลมรถใหม่ให้แก่ลูกค้า พร้อมกับทิ้งรถเก่าเข้าป่าช้ารถไป
อย่าคิดว่ารถที่ถูกทิ้งจะต้องถูกชนยับแบบเมืองไทย เพราะการ “ไม่คุ้มค่าซ่อม” ของญี่ปุ่น คือ การ
ชนในส่วนที่ไขน็อตเปลี่ยนไม่ได้ ในเมื่อค่าแรงแพงมาก จะมาดึงมาเคาะโป๊วสีนั้นไม่คุ้มแน่ บางครั้ง
แค่ชนท้ายยุบหรือเสาประตูงอรถก็ถูกทิ้งกันแล้ว
ถ้าอุบัติเหตุไม่เกิดขึ้นจนทำให้เครื่องยนต์เสียหาย เครื่องยนต์ก็จะถูกถอดลำเลียงมาจำหน่ายใน
เมืองไทย เช่นเดียวกับรถประเภทแรกที่เจ้าของทิ้งเพราะไม่อยากต่อทะเบียน
บางครั้งรถก็เกิดอุบัติเหตุหลังผ่านการใช้งานเพียงไม ่กี่เดือนหรือยังไม่พ้นระยะ “รันอิน” ด้วย
ซ้ำไป ถ้าใครโชคดีได้ซื้อเครื่องลักษณะนี้ก็เท่ากับซื้อเครื่องใหม่ในราคาเครื่องเก่า
เครื่องยนต์ที่ถูกส่งเข้ามาขายจะปะปนกันระหว่าง “รถทิ้ง” กับ “รถชน” ซึ่งก็ไม่มีใครจด
จำกันได้แม้แต่ผู้ขายเอง
แต่เครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะมีสภาพไม่ต่ำกว่า 50-70% อย่างแน่นอน คาดคะเนได้จากการใช้งาน
โดยเฉลี่ยของคนในเมืองหลวงวันละ 30-40 กิโลเมตร (ไป-กลับลาดพร้าว-ฝั่งธนบุรี) 1 ปีจะถูกใช้
ประมาณ 14,000 กม. 4 ปีก็ 56,000 กม. ยังเหลือให้เราใช้อีกกว่า 50%
บางเครื่องอาจจะถูกใช้น้อยกว่านี้ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งเพราะการชน อีกทั้งการแข่งขันของกลุ่มผู้ค้า
อะไหล่เก่าก็รุนแรงขึ้น จนต้องมีการคัดสรรเครื่องยนต์ที่มีสภาพดีมาจำหน่าย
ความคุ้มค่าของการเลือกซื้อเครื่องยนต์ใหม่ (ใช้แล้ว) อยู่ที่เทคนิคการเลือกซื้อ เพื่อให้ได้เครื่อง
ยนต์ที่มีอายุการใช้งานเหลืออยู่มากที่สุด
ข้อดีของการเลือกเปลี่ยนเครื่องยนต์
ความแน่นอนในการประกอบชิ้นส่วน – ช่างในโรงงานผู้ผลิตย่อมเหนือกว่าฝีมือช่างตามอู่ทั่วไป
ในกรณี “ฟิตเครื่อง” จะต้องลุ้นในฝีมือช่างประกอบด้วย อะไหล่ดีหมดแต่ฝีมือไม่ดีก็พังได้
การควบคุมค่าใช้จ่าย – ค่าใช้จ่ายหลักมีเพียงค่าเครื่อง, ค่าหัวเทียน, ผ้าคลัตช์, น้ำมันเครื่อง ทางอู่
บริการไม่สามารถบวกค่าอะไหล่ได้มากเท่ากับการฟิตเครื ่อง ลดค่าแรงการฟิตเครื่อง
3,000-5,000 บาท มาเป็นค่าเปลี่ยนเครื่อง 2,000 –3,000 บาทเท่านั้น
ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการฟิตเครื่องยนต์ – การฟิตเครื่องที่จะได้เครื่องสมบูรณ์ใกล้ 100% ที่สุด จำเป็น
ต้องใช้อะไหล่แท้ที่มีราคาแพงลิบลิ่ว ราคาอะไหล่ทั้งหมด แพงกว่าราคาเครื่อง 1 ตัวอีก และถึงแม้
จะใช้อะไหล่แท้และประกอบดีเพียงใด เครื่องยนต์ที่เสร็จออกมาก็จะได้แค่ “ใกล้” 100% หรือ
ประมาณ 80-90% เท่านั้นเอง เพราะหลายชิ้นส่วนมีการสึกหรอแล้ว
อะไหล่เหลือเก็บ – ควรเก็บเครื่องยนต์เก่ากลับมาบ้าน (ถ้ามีที่เก็บ) เพราะอะไหล่ต่าง ๆ อาจนำ
มาใช้ได้ในอนาคต ถ้าที่เก็บไม่พอ ให้ถอดอะไหล่ชิ้นต่าง ๆ ออกมาเก็บไว้ เช่น ไดชาร์จ, ไดสตา
ร์ท, คาร์บูเรเตอร์, จานจ่าย, สายหัวเทียน, ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิง, ฟลายวีล, ทวีคลัตช์, ผ้าคลัตช์,
ปั๊มน้ำ ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้เสมือนผลกำไรของเรา อนาคตถ้าชิ้นส่วนเหล่านี้เสียก็จะมีอะไหล่ใช้โดย
ไม่ต้องซื้อ
ประหยัดเวลา – การเปลี่ยนเครื่องใช้เวลาเพียง 1-2 วัน สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องลำบากเสีย
ค่าเดินทางหลายวัน ต่างจากการฟิตเครื่องที่ใช้เวลา 3-7 วัน